2019-06-05 17:34:42
ในการคำนวณแคลอรี่อาหารที่ควรได้รับในแต่ละวันในคนที่ต้องการลดน้ำหนัก จึงสามารถนำน้ำหนักตัวไปคูณปริมาณแคลอรี่ที่ต้องการด้วย 25 ผลลัพธ์ที่ได้นำมาลบ 500 อีกที จะได้ปริมาณที่พอดีกับความต้องการ เช่น คนหนึ่งหนัก 50 กิโลกรัม นำไปคูณกับ 25 แคลอรี่แปลว่าคนคนนั้นมีความต้องการพลังงานเท่ากับ 1,250 กิโลแคลอรี่ ลบออกสัก 500 เหลือ 750 กิโลแคลอรี่
หากอยากรู้ว่าแต่ละมื้อควรทานอาหารในปริมาณแคลอรี่เท่าไร ก็นำผลที่ได้ไปหาร 3 เท่ากับ 250 กิโลแคลอรี่ แปลว่าอาหารข้างต้น 10 อันดับนั้น ไม่เหมาะสมสำหรับคนหนัก 50 กิโลกรัมเลยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งที่ควรทานต่อมื้อคือ ก๋วยจั๊บญวณ 1 ถ้วย ปริมาณแคลอรี่ 235 กิโลแคลอรี่ ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกแห้ง 1 ถ้วย ปริมาณแคลอรี่ 225 กิโลแคลอรี่ ขนมปังน้ำสลัดหมูหยอง 1 ชิ้น ปริมาณแคลอรี่ 230 กิโลแคลอรี่ เป็นต้น
แต่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นการคำนวณจากภาพรวมเท่านั้น ที่ไม่จำเพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผลที่ได้จากคนที่น้ำหนักเท่ากันจะออกมาเหมือนกันหมดโดยไม่เกี่ยวข้องกับส่วนสูงและอายุเลย เราจึงหยิบอีกหนึ่งสูตรมาฝากที่มีความละเอียดมากกว่าเป็นการคำนวณค่า BMR ที่ช่วยให้ทราบความต้องการปริมาณแคลอรี่ต่อวันของแต่ละบุคคลที่ละเอียดมากขึ้น ดังนี้
สำหรับผู้ชาย BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม) + (5 x ส่วนสูงเป็นเซนติเมตร) – (6.8 x อายุ)
สำหรับผู้หญิง BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม) + (1.8 x ส่วนสูงเป็นเซนติเมตร) – (4.7 x อายุ)
ไม่ได้ออกกำลังกายเลย BMR x 1.2
ออกกำลังกายน้อย ประมาณ 1-3 วัน/สัปดาห์ BMR x 375
ออกกำลังกายปานกลาง ประมาณ 3-5 วัน/สัปดาห์ BMR x 1.55
ออกกำลังกายหนัก ประมาณ 6-7 วัน/สัปดาห์ BMR x 1.725
ออกกำลังกายหนัก เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น BMR x 1.725
คราวนี้ก็ลองสำรวจดูว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มไหนจากนั้นก็นำค่า BMR มาคิดเพิ่มกิจกรรมเข้าไป อย่างเช่นหากผู้ชายคนเดิมที่เราคิดค่า BMR ไปในตอนต้นมีค่า BMR = 1611.2 กิโลแคลอรี่ เป็นคนออกกำลังกายปานกลางก็นำ 1611.2 x 1.55 = 2497.36 กิโลแคลอรี่ นั่นคือปริมาณแคลอรี่ที่ผู้ชายคนนั้นต้องการต่อหนึ่งวัน แปลว่าถ้าหากต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักก็ไม่ควรทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่มากกว่านี้